รู้หรือไม่ว่าเดี๋ยวนี้เพียงแค่คลิกลิงก์แปลก ๆ ที่ส่งมาในข้อความมือถือ ก็สามารถถูกแฮกข้อมูลส่วนตัวได้แล้ว! สถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทยเผยว่า 3 อันดับภัยไซเบอร์ใกล้ตัวที่คนไทยถูกหลอกมากที่สุดคือ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (Data Theft) ดังนั้นจึงได้เกิดเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกกันว่า e-KYC จะสามารถป้องกัน Hacker ขโมยข้อมูลส่วนตัวได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบครับ
เทคโนโลยี e-KYC คืออะไร
e-KYC ย่อมาจาก Electronic Know Your Customer หมายถึง การทำความรู้จักลูกค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการระบุตัวตน (Identification) และยืนยันตัวตน (Verification)
โดย e-KYC เข้ามาแทนการใช้ KYC หรือ การทำความรู้จักลูกค้า แบบเดิมที่ให้บริการลูกค้าแบบ face-to-face โดยมีเจ้าหน้าที่คอยจัดการยืนยันตัวตนเอง ที่มีขั้นตอนยุ่งยาก เสียเวลา และความปลอดภัยต่ำ
ธนาคารโลกคาดว่า ประชากรมากกว่า 1.7 พันล้านคนในปัจจุบัน อยู่นอกระบบธนาคาร โดยเกือบ 1 ใน 5 นั้น ไม่มีเอกสารสำคัญในการยืนยันตัวตน โดยบริษัทตรวจสอบบัญชี KPMG เผยว่า 61% ของธนาคารมีการโจรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้น ทั้งด้านมูลค่าและปริมาณในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง e-KYC เข้ามามีส่วนช่วยในการลดการโจรกรรมทางการเงิน และข้อมูลส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการใช้ e-KYC
- ใช้ในการยืนยันตัวตนใน การเปิดบัญชีเงินฝากจากระยะไกล (Remote account opening)
- บริการทางการเงินได้ภายใน 3 นาที ต่างจากกระบวนการทำงานแบบเดิมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงในการตรวจสอบตัวตน
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินงานให้สถาบันทางการเงิน
ในปัจจุบัน e-KYC จากสกาย ไอซีที มีด้วยกันถึง 7 ฟีเจอร์เด่น ที่จะช่วยให้การยืนยันตัวตนมีประสิทธิภาพสูง ตามมาตรฐาน AAL2 ป้องกันการสวมรอย หรือการโจรกรรมข้อมูลไซเบอร์ ดังนี้
1.การตรวจจับใบหน้า (Face Detection) โดยใช้ระบบ 2D ในการสแกนใบหน้าเพื่อแปลงอัตลักษณ์ให้เป็นข้อมูลอ้างอิงชีวมิติ
2.การปรับคุณภาพรูปถ่าย (Face Quality) จากการวิเคราะห์และตรวจสอบความคมชัดของใบหน้าจากรูปภาพเพื่อให้ได้มาตรฐาน
3.การจำแนกข้อมูลอัตลักษณ์จากใบหน้า (Face Attributes) ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบของใบหน้าเพื่อระบุคุณลักษณะ เช่น เพศ อายุ การสวมใส่แว่นตาหรือหน้ากากอนามัย
4.การเปรียบเทียบใบหน้า (Face Comparison) เพิ่มประสิทธิภาพในการพิสูจน์ตัวตนให้แม่นยำมากขึ้น ด้วยการเทียบใบหน้าปัจจุบันเข้ากับฐานข้อมูล
5.การตรวจจับภาพหน้าจริง (Photo Liveness Detection) ตรวจจับภาพนิ่งว่าเป็นภาพใบหน้าจริง ป้องกันการนำรูปถ่ายหรือหน้ากากมาแอบอ้างในการยืนยันตัวตน
6.การตรวจจับใบหน้าจริงแบบภาพเคลื่อนไหว (Video Silent Liveness Detection) เพื่อป้องกันการนำไฟล์วิดีโอมาแอบอ้างในการยืนยันตัวตน
7.การตรวจจับภาพเคลื่อนไหวแบบตอบสนอง (Video Interactive Liveness) ด้วยการยืนยันตัวตนโดยเคลื่อนไหว
e-KYC สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มธุรกิจประกันภัย ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ในการลงทุน การทำธุรกรรมการเงิน และการแลกเปลี่ยน ด้วยความปลอดภัยสูงสุดอันเป็นสากล
โดย สกาย ไอซีที เปิดให้ทดลองใช้โซลูชัน e-KYC ในรูปแบบ demo แล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-029-7888 หรืออีเมล info@skyict.co.th